เมื่ออายุมากขึ้น ความหย่อนคล้อยของผิวหน้าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวลดลง รวมถึงแรงโน้มถ่วงที่ทำให้เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังสูญเสียความกระชับ ศัลยกรรมดึงหน้าจึงเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในการคืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้า ปัจจุบันมีสองเทคนิคหลักในการยกกระชับ ได้แก่ ศัลยกรรมดึงหน้าแบบดั้งเดิม (Facelift Surgery) และ ดึงหน้าส่องกล้อง (Endoscopic Facelift) ซึ่งแต่ละเทคนิคมีข้อดีและเหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกัน
ศัลยกรรมดึงหน้าแบบดั้งเดิม (Facelift Surgery) คืออะไร?
ศัลยกรรมดึงหน้าแบบดั้งเดิม เป็นการผ่าตัดเพื่อยกกระชับใบหน้าโดยการเปิดแผลตามแนวไรผมและบริเวณรอบใบหู จากนั้นแพทย์จะทำการยกเนื้อเยื่อผิวหนังและชั้นกล้ามเนื้อใต้ผิว (SMAS) ให้กระชับขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาผิวที่หย่อนคล้อยและลดริ้วรอยที่ลึกบนใบหน้า
ข้อดีของศัลยกรรมดึงหน้าแบบดั้งเดิม
- ยกกระชับได้ทั่วใบหน้าและลำคอ – สามารถแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม คาง กรอบหน้า และลำคอได้ในครั้งเดียว
- ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8-12 ปี – การผ่าตัดช่วยคืนโครงสร้างใบหน้าที่อ่อนเยาว์ได้อย่างถาวร
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมาก – โดยเฉพาะผู้ที่อายุ 45 ปีขึ้นไป
ข้อเสียของศัลยกรรมดึงหน้าแบบดั้งเดิม
- ต้องเปิดแผลผ่าตัดขนาดใหญ่ – แผลจะอยู่ข้างใบหูและไรผม แต่สามารถซ่อนแผลได้
- ระยะเวลาพักฟื้นนาน – โดยทั่วไปต้องใช้เวลาในการพักฟื้นประมาณ 2-4 สัปดาห์
- มีโอกาสเกิดอาการบวมและช้ำ – ต้องดูแลตัวเองหลังผ่าตัดเป็นพิเศษ
ดึงหน้าส่องกล้อง (Endoscopic Facelift) คืออะไร?
ดึงหน้าส่องกล้องเป็นเทคนิคการยกกระชับใบหน้าที่ใช้กล้องขนาดเล็ก (Endoscope) และอุปกรณ์พิเศษ โดยแพทย์จะเปิดแผลเล็ก ๆ ตามแนวไรผม และใช้กล้องในการช่วยยกชั้นผิวและเนื้อเยื่อใต้ผิว ทำให้ใบหน้ากระชับขึ้นโดยไม่ต้องเปิดแผลขนาดใหญ่
ข้อดีของดึงหน้าส่องกล้อง
- แผลเล็กและฟื้นตัวเร็ว – บาดแผลมีขนาดเพียง 1-2 ซม. ลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็น และสามารถพักฟื้นได้ภายใน 7-14 วัน
- ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ – ไม่ดึงจนใบหน้าตึงเกินไป เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูอ่อนเยาว์แต่ไม่ต้องการเปลี่ยนโครงหน้า
- ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน – เนื่องจากเป็นเทคนิคที่ใช้การเปิดแผลเล็ก ลดอาการบวมช้ำหลังทำ
ข้อเสียของดึงหน้าส่องกล้อง
- ผลลัพธ์อยู่ได้น้อยกว่าดึงหน้าแบบดั้งเดิม – โดยทั่วไปผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 5-8 ปี
- ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยมาก – เทคนิคนี้ให้ผลดีที่สุดกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
เปรียบเทียบศัลยกรรมดึงหน้าแบบดั้งเดิมกับดึงหน้าส่องกล้อง
ศัลยกรรมดึงหน้าแบบดั้งเดิม
- ขนาดแผล : แผลขนาดใหญ่ข้างใบหูและไรผม
- ระดับการยกกระชับ : ยกกระชับทั่วใบหน้าและลำคอ
- ระยะเวลาพักฟื้น : 2-4 สัปดาห์
- ระยะเวลาคงอยู่ : 8-12 ปี
- เหมาะกับช่วงอายุ : 45 ปีขึ้นไป
ดึงหน้าส่องกล้อง
- ขนาดแผล : แผลเล็ก 1-2 ซม. ซ่อนในไรผม
- ระดับการยกกระชับ : ยกกระชับเฉพาะช่วงแก้มและกรอบหน้า
- ระยะเวลาพักฟื้น : 7-14 วัน
- ระยะเวลาคงอยู่ : 5-8 ปี
- เหมาะกับช่วงอายุ : 30-50 ปี
ใครเหมาะกับศัลยกรรมดึงหน้าแบบไหน?
ศัลยกรรมดึงหน้าแบบดั้งเดิม เหมาะกับ
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก
- ต้องการแก้ไขความหย่อนคล้อยทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ
- มีอายุ 45 ปีขึ้นไป และต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน
ดึงหน้าส่องกล้อง เหมาะกับ
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง
- ต้องการฟื้นตัวไว และไม่มีเวลาพักฟื้นนาน
- ผู้ที่มีอายุ 30-50 ปี และต้องการยกกระชับแบบไม่เปลี่ยนโครงหน้า
นอกจากศัลยกรรมดึงหน้าแล้ว มีวิธีไหนช่วยยกกระชับใบหน้าได้อีก?
สำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด สามารถเลือกใช้หัตถการที่ช่วยกระชับผิวหน้า เช่น
- HIFU / Ultherapy / Thermage – ใช้พลังงานคลื่นเสียงและคลื่นวิทยุเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน
- ร้อยไหม (Thread Lift) – ใช้ไหมละลายยกกระชับเฉพาะจุด
- ฉีดฟิลเลอร์และโบท็อกซ์ – เติมเต็มใบหน้าและลดริ้วรอย
- ฉีดไขมันหน้าเด็ก (Fat Grafting) – ใช้ไขมันตัวเองฉีดเพื่อเติมเต็มและคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว
สรุป
- ศัลยกรรมดึงหน้าแบบดั้งเดิม เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน และมีปัญหาความหย่อนคล้อยระดับมาก
- ดึงหน้าส่องกล้อง เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับโดยมีแผลขนาดเล็กและฟื้นตัวเร็ว
- ผู้ที่ยังไม่ต้องการศัลยกรรมสามารถเลือกวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด เช่น HIFU, ร้อยไหม, หรือฉีดไขมันหน้าเด็ก
การเลือกเทคนิคที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับระดับความหย่อนคล้อยของผิว อายุ และความต้องการของแต่ละบุคคล แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับคุณ